หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

สงครามครูเสด (The Crusades)

โพสท์โดย Faithbook

      สงครามครูเสด เป็นชื่อของสงครามต่าง ๆ ระหว่างชาวคริสต์และชาวมุสลิมที่เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1095 และสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1291 หลังจากการทำสงครามนองเลือดถึง 8 ครั้ง
การใช้คำว่า “ครูเสด” (กางเขน) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ แสดงให้เห็นว่าสงครามเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นในนามของสงครามศาสนา เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์

สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้สงครามเริ่มต้นขึ้น 

      นักประวัติศาสตร์อธิบายถึงสาเหตุของสงครามนี้ไว้ด้วยกันหลายประการ บางคนเชื่อว่าความเข้มงวดของชาวมุสลิมที่มีต่อผู้แสวงบุญชาวคริสต์ที่ไปเยือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากการพิชิตของชาวเติร์กซัลจู๊ค จึงเป็นสาเหตุปลุกเร้าให้ชาวคริสต์หาทางที่จะยึดครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ [1]

      แต่ในทางตรงกันข้าม นักประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งกล่าวเช่นนี้ว่า เป้าหมายต่าง ๆ ทางการเมืองและเศรษฐกิจของกษัตริย์และผู้นำชาวคริสต์ คือสาเหตุที่มาของสงครามเหล่านี้ [2]

      ความเจริญรุ่งเรืองของกลุ่มประเทศอิสลามและอารยธรรมอิสลาม เป็นสิ่งล่อใจของบรรดากษัตริย์เหล่านั้น ความใฝ่ฝันที่จะไขว่คว้าเอาประเทศเหล่านี้มาอยู่ในอำนาจครอบครองของตนเป็นหนึ่งในความปรารถนาของบรรดากษัตริย์ชาวตะวันตกตลอดมา

การเรียกร้องของจักรพรรดิคอนสแตนติโนเปิลเพื่อการทำสงคราม

         เพื่อที่จะทำให้ความฝันอันเก่าแก่ของตนเป็นจริงขึ้นมา อเล็กซิส [3] จักรพรรดิคอนสแตนติโนเปิล ได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปถึงสมเด็จพระสันตะปาปาในสมัยนั้น โดยขอร้องจากท่านให้เรียกร้องเชิญชวนชาวคริสต์สู่การทำสงครามเพื่อยึดครองบัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) 

สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II) 

       สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II) [4] จึงจัดตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นจากคริสตจักรต่างๆ ของตะวันตกเพื่อนำเสนอเรื่องนี้ ผู้นำคริสตจักรทั้งหลายต่างเห็นพ้องตรงกันในการตัดสินใจนี้ และประกาศความพร้อมที่จะเริ่มต้นสงครามศักดิ์สิทธิ์กับชาวมุสลิม [5]

เสียงระฆังของสงครามดังขึ้น

      ไม่นานนักการรณรงค์อย่างเข้มข้นเพื่อโน้มน้าวประชาชนก็เริ่มต้นขึ้น ผู้นำคริสเตียนได้ปลุกระดมภายใต้หัวข้อที่ว่า “บัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ และเป็นของคริสตชน” พวกเขาเตรียมความพร้อมชาวคริสต์สำหรับการทำสงคราม บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการยุยงส่งเสริมประชาชนให้ออกไปทำสงครามศาสนา คือพระคริสต์ผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่าปีเตอร์ [6] ซึ่งประชาชนรู้จักเขาในนาม “ฤาษี” เขาสวมใส่เสื้อผ้ามอมแมมและถือกางเขนขนาดใหญ่ ขี่ลาเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของยุโรป และรวบรวมประชาชนจำนวนมากมาอยู่กับเขา เพื่อการทำสงครามครั้งนี้ [7]

ปีเตอร์มหาฤาษี (Peter the Hermit) 

        สมเด็จพระสันตะปาปาได้ออกคำประกาศฉบับหนึ่ง และให้คำมั่นสัญญาว่าผู้ที่ย่างก้าวไปบนเส้นทางของการต่อสู้จะได้รับการอภัยโทษจากความผิดบาป

       “ทุกคนที่เดินทางไปบนเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะโดยทางบกหรือทางทะเล หรือตายในขณะที่ทำสงครามกับพวกบูชาเจว็ด (หมายถึงพวกที่ไม่ใช่ชาวคริสต์) บาปต่าง ๆ ของพวกเขาจะถูกลบออกไปทันที ฉันจะให้สิ่งนี้โดยผ่านอำนาจของพระเจ้าที่ฉันได้รับมอบมา” [8]

        แต่กระนั้นก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ก็หวังว่าการเข้าร่วมในสงครามครูเสด จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่เพียงคนธรรมดาสามัญเท่านั้นที่เข้าร่วมสงครามนี้ ทว่าแม้แต่ผู้นำคริสเตียนก็เข้าร่วมด้วย โดยไม่มีการยกเว้นจากกฎข้อนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้กล่าวกับบรรดาพระคริสต์และบาทหลวงในที่ประชุมสภาคลีมองต์ (Council of Clermont) ว่า 

       “เยรูซาเล็มคือดินแดนสวรรค์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขภิรมย์และปัจจัยอำนวยสุขต่าง ๆ เป็นดินแดนที่ให้ผลผลิตที่ดีกว่าดินแดนอื่น ๆ ทั้งมวล เมืองนี้คือเมืองจักรพรรดิที่ตั้งอยู่ในใจกลางของโลก คาดหวังจากพวกท่านที่จะรีบรุดในการช่วยเหลือมัน" [9]

สงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง 

       ไม่นานนักกองทัพขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ของสังคมก็ถูกจัดตั้งขึ้น และเคลื่อนทัพมุ่งสู่บัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า จำนวนทหารของกองทัพครูเสดประมาณ 6 แสนคน

        กองทัพเริ่มต้นเดินทางสู่บัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) ในระหว่างการเดินทางตลอดเส้นทางก็จะปล้นสะดมเมืองต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางนั้น หลังจากเดินทางมาถึงกรุงเยรูซาเล็มก็ได้ปิดล้อมเมืองนี้ไว้เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการยึดครอง ผู้รุกรานเหล่านั้นหลังจากที่เข้าไปในเมืองก็ทำการเข่นฆ่าสังหารประชาชนอย่างเหี้ยมโหด ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้ในหน้าประวัติศาสตร์

        พวกเขาจะใช้ดาบสังหารทั้งชาวยิวและชาวมุสลิมทุกคนที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จนทำให้เมืองนี้นองไปด้วยเลือด นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตกผู้หนึ่งได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไว้เช่นนี้ว่า :"เฉพาะในวิหารโซโลมอน ศีรษะของมนุษย์จำนวนนับหมื่นถูกแยกออกจากร่างกาย และเท้าของพวกเขาจมอยู่ในกองเลือดจนถึงข้อเท้า จะให้ผมสามารถพูดอะไรได้อีก? ไม่มีใครสามารถเอาชีวิตรอดไปได้แม้แต่เพียงคนเดียว แม้กระทั่งชีวิตของบรรดาสตรีและเด็กๆ พวกเขาก็ไม่ละเว้น" [10] เป็นไปตามกระบวนการดังกล่าวนี้ สงครามครูเสดครั้งแรกจึงได้สิ้นสุดลงหลังจากระยะเวลาสามปี

สงครามครูเสดครั้งที่สอง

       ในปี ค.ศ. 1145 ชาวมุสลิมได้ยึดเอาเมืองโอเดสซากลับคืนมา ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญมาก เมื่อข่าวการยึดเมืองนี้กลับคืนได้ไปถึงกรุงโรม สมเด็จพระสันตะปาปาจึงตัดสินใจระดมประชาชนออกสู่สงครามอีกครั้งหนึ่งเพื่อยึดเมืองนี้กลับคืน ไม่นานนักกองทัพของชาวคริสต์ก็เคลื่อนพลมุ่งสู่เมืองโอเดสซา ในครั้งนี้กองทัพแบ่งออกเป็นสองส่วน และเคลื่อนพลไปสู่ภูมิภาคนี้จากสองเส้นทาง

        แต่ในครั้งนี้ชาวเติร์กซัลจู๊กได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ได้สร้างความปราชัยให้กับกองทัพคูเสดทั้งสองส่วน และทำลายกองทัพนี้ลงเกือบสองในสามของจำนวนทหารในกองทัพ หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้กองทัพของครูเสดก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง หลังจากการฟื้นฟูและเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทัพแล้ว พวกเขาได้ตัดสินใจบุกโจมตีกรุงดามัสกัสซึ่งถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์หนึ่งของมุสลิม เพื่อที่จะยึดครองเมืองนี้ไปเป็นของตนเอง

       การเผชิญศึกในช่วงแรกแม้ว่ากองทัพครูเสดจะสามารถเอาชนะได้ก็ตาม แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ไม่เป็นที่แน่ชัด ผู้บัญชาการกองทัพได้ออกคำสั่งให้ถอนทัพ หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่วันก็มุ่งหน้าเดินทางกลับสู่กรุงเยรูซาเล็มโดยมิได้บรรลุผลสำเร็จใดๆ [11] บางคนกล่าวว่าสาเหตุดังกล่าวเกิดจากการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างผู้บัญชากองทัพคูเสดกับผู้ปกครองของดามัสกัส แต่สิ่งนี้ก็เป็นเพียงการคาดการณ์เพียงเท่านั้น สาเหตุต่างๆ ของการถอนทัพครั้งนี้ไม่เป็นที่เปิดเผย และกลายเป็นความลับหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์

       เป็นเวลายาวนานหลายทศวรรษที่สันติภาพในระดับหนึ่งเกิดขึ้นในระหว่างประเทศต่างๆ ของอิสลามและของคริสเตียน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1187 เรโนลต์ โดชาเตียน เจ้าชายแห่งอันติอ๊อก (Antioch) ได้กระทำการที่ไร้ความเป็นสภาพบุรุษด้วยการโจมตีกองคาราวานการค้าของมุสลิมที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนครมักกะฮ์ ทำให้มุสลิมเกิดความโกรธแค้น เจ้าชายองค์นี้ได้ปล้นสะดมทรัพย์สินของกองคาราวาน และไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ออกคำสั่งให้สังหารบรรดาบุรุษของกองคาราวานนี้ และจับกุมตัวบรรดาสตรีและเด็กไปเป็นเชลย

ซอลาฮุดดีน อัยยูบี 

       ในช่วงเวลานี้ ซอลาฮุดดีน อัยยูบี ผู้ปกครองซีเรียได้เรียกร้องให้เรโนลต์ปล่อยตัวเชลยศึกและจ่ายค่าสินไมทดแทนเลือดของผู้ที่ถูกฆ่าตาย แต่เรโนลต์ไม่ได้ให้ความสนใจ และยังปฏิเสธที่จะให้การต้อนรับคณะผู้แทนของซอลาฮุดดีน ซอลาฮุดดีนจึงจัดกองทัพขนาดใหญ่และเคลื่อนพลไปยังกรุงเยรูซาเล็ม หลังจากสองสัปดาห์ของการิดที่ล้อมเมืองนี้ไว้ก็สามารถพิชิตเมืองนี้ได้สำเร็จ [12] 

สงครามครูเสดครั้งที่สาม

        การถูกโค่นล้มของกรุงเยรูซาเล็ม ได้สร้างความหวาดกลัวและความโกรธแค้นให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวคริสต์อย่างใหญ่หลวง กองทัพครูเสดจึงตัดสินใจอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่งที่จะยึดครองกรุงเยรูซาเล็มกับมาเป็นของตน กองทัพครูเสดภายใต้การนำทัพของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่า ริชาร์ด ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่รู้จักในนามกษัตริย์ “ริชาร์ดใจสิงห์” (Richard the Lionheart) ได้บุกโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็ต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างเต็มกำลังของซอลาฮุดดีนและกองทัพที่อยู่ภายใต้คำบัญชาของเขา ท้ายที่สุดเมื่อเอากันไม่ลง ซอลาฮุดดีนได้เสนอการทำสนธิสัญญาสงบศึกกับกษัตริย์ริชาร์ดใจสิงห์ ภายใต้สนธิสัญญาสงบศึกครั้งนี้ คริสเตียนสามารถที่จะเดินทางไปเยือนและแสวงบุญในกรุงเยรูซาเล็มได้อย่างอิสระ และสงครามครูเสดครั้งสามจึงสิ้นสุดลง [13] 

กษัตริย์ “ริชาร์ดใจสิงห์” (Richard the Lionheart)

สงครามครูเสดครั้งที่สี่

       ในปี ค.ศ. 1204 ชาวคริสเตียนได้บุกโจมตีเมืองคอนสแตนติโนเปิล และยึดเมืองนี้ไปเป็นของตน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสยดสยองที่สุด ทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึงเมืองนี้ก็เริ่มการเข่นฆ่าสังหารอย่างไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาไม่มีความเมตตาปรานีต่อใครทั้งสิ้น แม้แต่เด็ก ๆ ก็ถูกฆ่าตายในสภาพที่แสนอเนจอนาถ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้แต่คริสตจักรต่าง ๆ ของเมืองนี้ก็ไม่ปลอดภัยจากการปล้นสะดม [14]

สงครามครูเสดครั้งที่ห้า

        ในปี ค.ศ. 1218 สมเด็จพระสันตะปาปาได้ปลุกกระตุ้นชาวคริสต์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อส่งกองทัพไปยังภูมิภาคนี้หวังจะพิชิตประเทศอียิปต์ แต่ความทะเยอทะยานของผู้นำคริสเตียนไม่อาจทำให้ภารกิจครั้งนี้บรรลุผล ทั้งนี้เนื่องจากชาวฝรั่งซึ่งโดยปกติจะเข้าช่วยในกองทัพเพื่อทำศึกสงครามเหล่านี้ แต่ขณะนี้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของความสงบสุขและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี พวกเขาจึงปฏิเสธที่จะร่วมเดินทางไปกับกองทัพครูเสด ในที่สุดชาวครูเสดก็ต้องกลับสู่ยุโรปโดยไม่สามารถไปถึงยังเป้าหมายที่กำหนดไว้ [15]

สงครามครูเสดครั้งที่หก

         แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสงครามหนึ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วในเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีการหลั่งเลือดใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากในปี ค.ศ. 1229 กษัตริย์เฟรเดอริคที่ 2 (Frederick II) แห่งเยอรมนี หลังจากที่เคลื่อนทัพไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็พบว่าชาวมุสลิมไม่มีความต้องการที่จะปกครองเหนือกรุงเยรูซาเล็ม สุลต่านแห่งอียิปต์ได้บรรลุข้อตกลงกับเฟรเดอริค และมอบกรุงเยรูซาเล็มให้อยู่ในอำนาจของเฟรเดอริค สงครามครูเสดครั้งที่หกจึงสิ้นสุดลงโดยที่ไม่มีการหลั่งเลือดแต่อย่างใด [16]

กษัตริย์เฟรเดอริคที่ 2 (Frederick II) แห่งเยอรมนี

สงครามครูเสดครั้งที่เจ็ดและแปด

         กรุงเยรูซาเล็มอยู่ในอำนาจของชาวคริสต์เป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งมุสลิมบางส่วนที่รู้สึกไม่พึงพอใจต่อการกระทำของกษัตริย์อียิปต์ พวกเขาได้บุกโจมตีกรุงเยรูซาเล็มและยึดมาเป็นของตน ในปี ค.ศ. 1250 พระเจ้าหลุยส์ ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส (Louis IX of France) ตัดสินใจที่จะยึดครองเมืองศักดิ์สิทธิ์ เขาได้บุกโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็ต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างหนักหน่วงจากมุสลิม ไม่เพียงแต่แผนการของพระเจ้าหลุยส์จะไม่บรรลุความสำเร็จเท่านั้น ทว่าเขาเองยังถูกจับกุมตัวโดยมุสลิม หลังจากจ่ายค่าไถ่ตัวอย่างหนักอึ้งเขาจึงได้รับการปล่อยตัว [17]

 พระเจ้าหลุยส์ ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส (Louis IX of France)

       สงครามครูเสดครั้งสุดท้ายก็เช่นกัน เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการยึดครองเมืองอันติอ๊อก (Antioch) หรือ “อันตอกียะฮ์” ในปี ค.ศ.1268 โดยชาวมุสลิม อีกครั้งหนึ่งที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงโชคพร้อมกับลูกชายของเขา และสงครามครูเสดครั้งที่แปดจึงถูกจัดเตรียมขึ้น แต่เนื่องจากอายุขัยของเขาไม่อำนวยและได้เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1270 สงครามครูเสดครั้งสุดท้ายจึงสิ้นสุดลงไปด้วย [18]

      หลังจากการเสียชีวิตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แล้ว เมืองต่างๆ ที่เคยตกอยู่ในการยึดครองของชาวคริสต์ได้ถูกพิชิตคืนโดยมุสลิมเมืองแล้วเมืองเล่า เมืองเอเคอร์ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายที่ถูกยึดครองโดยชาวครูเสด และจากการพิชิตเมืองนี้ในปี ค.ศ. 1291 ยุคแห่งการครอบครองเมืองต่างๆ ของอิสลามโดยชาวคริสต์ก็สิ้นสุดลง

เชิงอรรถ

[1] อะลัดร์, จอห์น, ประวัติศาสตร์การปฏิรูปคริสตจักร, พิมพ์ปี 1947 (ปีอิหร่าน), สำนักพิมพ์บีนอ, หน้า 25

[2] เลวี่ บีเอล, ทิโมธี; สงครามครูเสด, แปลโดย ซุเฮล ซัมมี, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 11

[3] Alexius

[4] Urban II

[5] รันซีมาน, สตีเฟ่น, ประวัติศาสตร์ของสงครามครูเสด, แปลโดย มานูเจฮัร, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1384 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งแรก, เล่มที่ 1, หน้าที่142

[6] ปีเตอร์ฤาษี (Peter the Hermit)

[7] อะลัดร์, จอห์น, ประวัติศาสตร์การปฏิรูปคริสตจักร, พิมพ์ปี 1947 (ปีอิหร่าน), สำนักพิมพ์บีนอ, หน้า 25

[8] แวน โวริส, โรเบิร์ต เอ, ศาสนาคริสต์ในตำราต่างๆ, แปลโดยญะวาด บอกบอนี และ รอซูลซอเดะฮ์, สำนักพิมพ์สถาบันอิหม่ามโคมัยนี, ปี 1384 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งแรก, หน้าที่ 222

[9] ดูแรนท์, วีล , ประวัติศาสตร์อารยธรรม, แปลโดยอบูฏอลิบ ซอริมี และเพื่อนร่วมงาน, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1378 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้ง 6, เล่มที่4, หน้าที่ 786

[10] เลวี่ บีเอล, ทิโมธี : สงครามครูเสด, แปลโดย ซุเฮล ซัมมี, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 91

[11] รันซีมาน, สตีเฟ่น, ประวัติศาสตร์ของสงครามครูเสด, แปลโดย มานูเจฮัร, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1384 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งแรก, เล่มที่ 2,หน้าที่ 285-330

[12] เลวี่ บีเอล, ทิโมธี : สงครามครูเสด, แปลโดย ซุเฮล ซัมมี, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 122-125

[13] อาร์ กูรีก, เจมส์, ปลายยุคกลาง, แปลโดยมะฮ์ดี ฮะกีกัต คอฮ์, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 93

[14] รันซีมาน, สตีเฟ่น, ประวัติศาสตร์ของสงครามครูเสด, แปลโดย มานูเจฮัร, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1384 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งแรก, เล่มที่ 3,หน้าที่ 149 -150

[15] เลวี่ บีเอล, ทิโมธี : สงครามครูเสด, แปลโดย ซุเฮล ซัมมี, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 152

[16] หนังสืออ้างอิงเล่มเดิม, หน้าที่ 153

[17] ดูแรนท์, วีล, ประวัติศาสตร์อารยธรรม, แปลโดยอบูฏอลิบ ซอริมี และเพื่อนร่วมงาน, สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม, ปี 1378 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้ง 6, เล่มที่4, หน้าที่ 814

[18] อาร์ กูรีก, เจมส์, ปลายยุคกลาง, แปลโดยมะฮ์ดี ฮะกีกัต คอฮ์, สำนักพิมพ์กุกนูซ, ปี 1385 (ปีอิหร่าน), พิมพ์ครั้งที่ 1, หน้าที่ 97

 

ที่มา: http://www.islamicstudiesth.com/index.php/27-articles/282-the-crusades
ที่มา : แฟ้มข่าวและบทความ เว็บไซต์ www.sahibzaman.com
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Faithbook's profile


โพสท์โดย: Faithbook
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
24 VOTES (4/5 จาก 6 คน)
VOTED: ไทยเฉย, เทียร์, มารคัส, ท่านฮั่ว แมวขี้งอน
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
นี่ไม่ใช่หนังสยองขวัญ แต่มันคือหน้าคุณแม่ตอนตั้งครรภ์‘NEET’ คนที่ชอบเก็บตัว ไม่เรียนหนังสือ ไม่ทำงาน ไม่ออกไปพบเจอผู้คน ไม่ทำอะไรเลย ใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ให้พ่อแม่เลี้ยงดู เพราะ I have มรดกผู้หญิงสะโพกใหญ่ จะมีลูกฉลาดและสมองดีคนเขมรเริ่มตาสว่าง พึ่งรู้ว่าตัวเองถูกหลอกจากรัฐบาล ไม่มี ไม่พบ ไม่เจอ สูญหาย จึงออกมาเรียกร้องความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของทหารเขมรสาวสวยบิกิีuี่หลุด แต่โค้ชเสิร์ฟรีบคว้าไว้ได้ทัน..แต่กลายเป็นดราม่าซ่ะงั้นหมอคณะแพทย์รามา พร้อมรับลูกสาว ที่จูบลาพ่อ พลีชีพปกป้องประเทศ เข้าเรียนพยาบาลโควต้าพิเศษ โดยไม่ต้องสอบภูเขาไฟเลโวโทบี ลากิ-ลากิ ปะทุรุนแรง! อินโดนีเซียสั่งปิดโรงเรียน-สนามบิน หลังเถ้าถ่านพุ่งสูง 18,000 เมตรหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด EOD - TMAC เข้าทำลายระเบิด BM-21 ของกัมพูชาEOD ตชด. พบจรวด BM-21 เกือบ 20 ลูก ตกกลางทุ่งนา อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์เปิดยอดค่ารักษาพยาบาลที่ “เรียกเก็บไม่ได้” มนุษยธรรม vs ภาระงบประมาณเกาหลีเหนือ แถลงชัด “หวังเห็นอาเซียนมีสันติภาพยั่งยืน”Outlet Restrooms ห้องน้ำคลาสสิค
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ระบบอาวุธจรวดของไทย ที่ทันสมัยและมีอำนาจทำลายล้างมากที่สุด
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่แพงที่สุด ที่เคยถูกพัฒนาขึ้นบนโลกเคยไหมที่ทำอะไรแปลกๆ? ระวัง! มันอาจเป็นสัญญาณเตือนของ “โรคทางจิตเวช” โดยไม่รู้ตัวเปิดยอดค่ารักษาพยาบาลที่ “เรียกเก็บไม่ได้” มนุษยธรรม vs ภาระงบประมาณ“โลกแบน” ยังไม่หายไปไหน ทำไมคนยุค AI ยังเชื่อแบบนั้น?
ตั้งกระทู้ใหม่