รวบสองพ่อลูก อ้างทนายเดชา ปลอมหมายศาลหลอกเหยื่อ
(18 ก.พ.2564) ตำรวจ กก.4 บก.ป. จับนายรังสรรค์ หรือเสี่ยอ็อด (สงวนนามกุล) อายุ 59 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 343/2564 และนายสุวิทย์ หรืออาม (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 344/2564 ลงวันที่ 17 ก.พ.2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันปลอมและใช้ซึ่งดวงตราหรือรอยตราของทบวงการเมือง ขององค์การสาธารณะ หรือของเจ้าพนักงาน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” โดยจับที่ ต.ทัพหลวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี
พฤติการณ์ตามวันเวลาเกิดเหตุ นายรังสรรค์ ร่วมกับนายสุวิทย์ ซึ่งเป็นบุตรชาย ทำทีเข้าไปตีสนิทกับ นางบุญรัด (ผู้เสียหาย) และสามี ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างทำเฟอร์นิเจอร์ โดยสร้างเรื่องราวหลอกผู้เสียหายว่า นายสุวิทย์ เคยได้รับเงินสดจำนวน 293 ล้านบาท และทองคำแท่งหนัก 5 กิโลกรัม มาจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถูกดำเนินคดีเนื่องจากนำเงินเข้ามาในประเทศเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงทำให้เงินสดและทองคำดังกล่าวถูกยึดเป็นของกลาง นอกจากนี้ทรัพย์สินทั้งหมดของนายรังสรรค์ และ นายสุวิทย์ ถูกศาลอายัดไว้ซึ่งภายหลังศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง ทำให้พวกตนต้องดำเนินการขอรับเงินสด, ทองคำ และทรัพย์สินต่างๆ คืน โดยการดำเนินการดังกล่าวต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เสียหาย โดยเสนอว่าหากผู้เสียหายช่วยดำเนินการเสร็จสิ้นจะแบ่งทรัพย์สินให้กับผู้เสียหาย 10 % ของเงินสดที่ถูกอายัด และให้ทองคำแท่ง 1 กิโลกรัม
นอกจากนี้ผู้ต้องหาทั้งสองนำหมายศาลที่ร่วมกันทำปลอมขึ้นมาแสดงให้ผู้เสียหายดู ซึ่งในหมายศาลดังกล่าวมีการระบุชื่อทนาย ด. ทนายชื่อดัง เป็นผู้ทำหน้าที่ดำเนินการขอคืนทรัพย์สิน จึงทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างโดยในการหลอกลวงครั้งแรก กลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่าจะต้องใช้เงินจำนวน 5,000 บาท เพื่อนำไปกระตุ้นบัญชีที่ถูกอายัด ต่อมาได้อ้างอีกว่าจะต้องนำไปดำเนินการเรื่องบัญชีที่ถูกอายัดเพิ่มเติม เป็นเงิน 13,000 บาท เพื่อให้ได้รับเงินทั้งหมดคืนออกมา ผู้เสียหายจึงได้ให้เงินจำนวนดังกล่าวแก่กลุ่มผู้ต้องหา
ขณะเดียวกันผู้ต้องหายังนำเรื่องราวดังกล่าวไปหลอกลวงผู้เสียหายอีก 4 ราย ซึ่งเป็นเพื่อนกับนางบุญรัด ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ให้เงินแก่ผู้ต้องหาทั้งในรูปแบบเงินสด และโอนเข้าบัญชีของผู้ต้องหา โดยหลังจากที่กลุ่มผู้ต้องหาได้เงินไปผู้ต้องหาวางแผนสร้างเรื่องเพิ่มเติมโดยอ้างว่า ขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ มีความคืบหน้าใกล้จะได้รับทรัพย์สินทั้งหมดแล้ว แต่มีอุปสรรคติดขัดบางอย่าง ที่จะต้องมีค่าดำเนินการเพิ่มเติม โดยจะอ้างบทสนทนากับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หรือแสดงเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ เช่น ค่ารถตู้ขนทองคำจากดีเอสไอ เป็นเงิน 200,000 บาท, ค่าดำเนินการของเจ้าหน้าที่ฯ, ค่าธรรมเนียม ปปง. และ สรรพากร ฯลฯ ทำให้ผู้เสียหายทั้งหมดหลงเชื่อ ให้เงินแก่ผู้ต้องหาเพิ่มมาโดยตลอด ซึ่งตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 62 ถึงวันที่ 18 พ.ย. 63 รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 6 ล้านบาท
กระทั่งวันที่ 30 พ.ย.63 ผู้เสียหายทำหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เพื่อ ตรวจสอบหมายศาลที่ผู้ต้องหาทั้งสองนำมาแอบอ้าง โดยพบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้นเอง เมื่อผู้เสียหายทราบว่าตนเองถูกหลอก จึงเเจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสองและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานขออนุญาตศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสอง โดยเมื่อวานนี้(17 ก.พ.)สืบทราบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองหลบหนีมาอยู่ในพื้นที่ ต.ทัพหลวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจับควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการสอบถามผู้ต้องหา ผู้ต้องหาให้การรับว่าร่วมกันหลอกผู้เสียหายจริง โดยนำเงินที่ได้จากการหลอกลวงไปเล่นการพนันฟุตบอลออนไลน์, แต่งรถซิ่ง และใช้จ่ายส่วนตัว.
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=3724773247604867&id=1964681493614060











