"ต๊อบ" หอบครอบครัวย้ายประเทศ จวกทิ้งท้าย "รัฐบาลส้นตีน"
ในที่สุดบ้านเราก็อพยพหนีเมืองไทย(เป็นการชั่วคราว)มาแล้วค่ะ หล้งจากพูดมาตั้งแต่ เมษา กว่าเตรียม Visa เรียบร้อยทั้งบ้าน คนสุดท้ายที่รอเพิ่งได้เมื่อ 23 มิย. ซึ่งเป็นความโชคดีที่ไปขอที่เชียงใหม่ ก่อนที่เค้าจะประกาศกักคนที่เดินทางไปจากกทม 14 วัน แบบฉิวเฉียด
พอได้วีซ่ามาแล้ว ก็คิดลังเลวนไปวนมาว่าจะไปดีมั้ย หรือจะอยู่เมืองไทยดี แต่จากการที่ตามข่าวมา คนติดเชื้อเพิ่ม จาก 2000, 3000, 4000, จนวันเราตัดสินใจกดจองตั๋ว คือวันที่ ผู้ติดเชื้อ 5000
ทริปนี้ฉุกละหุกมาก เพราะจองตั๋วก่อนบินแค่ 10 วัน เป็นทริปกะทันหันมากกก แต่การที่เราแพลนจะมานั้น เราวางแผนมาหลายเดือน คุยกับญาติสนิทที่นี่ ก็คือพี่ชาย และป้า (พี่ชายเป็น พยบ. ICU ที่นิวยอร์ก เค้ามีอพาร์ทเม้น ให้เรามาเกาะกิน )
ก่อนมามีคนถามว่า “แล้วสถานการณ์ที่อเมริกาตอนนี้คิดว่าดีกว่าไทยหรอคะ?” เราก็อยากจะตะโกนไปว่าาา
”ดีกว่าค่ะ ดีกว่ามากกกก (อยู่ไทยถ้าติดก็ลองหาเตียงดูค่ะ ตอนนี้พ่อแม่หมอยังหาเตียงแอทมิทไม่ได้)”
รพ.ทุกที่ที่อเมริกากลับมาเป็นปกติ ไม่เหมือนตอนปีที่แล้วที่ไม่มีวัคซีน ที่รพ.เต็ม คนอเมริกาตายเป็นใบไม้ร่วง (เหมือนที่สลิ่มชอบยกมาด่า) แม้ว่าคนติดเชื้อยังมี แต่น้อยลงมาก เตียงไม่เต็มแล้ว วัคซีนฉีดได้ทุกหัวมุมถนน ถ้าอยากมาให้มากันได้เลย
ที่เรามาเพราะเราอยากได้ mRNA vaccine ค่ะ แม้ว่าตัวอุ้มจะฉีด Az ไปแล้ว 1 เข็ม พี่ต๊อบฉีด Sinovac 1 เข็ม
แต่งานที่ทำมัน WFH ไม่ได้ หมอความงามก็ได้รับความเสี่ยงมากๆ เพราะต้องเปิดหน้าคนไข้ทำ แม้ว่าเราจะใส่ face mask/ face shield ทำงานล้างมือป้องกันอย่างดี แต่เชื้อ delta ก็ติดง่ายมาก (เอาจริงส่วนตัวคิดว่าคลีนิกความงามก็เสี่ยงไม่ต่างจากร้านอาหาร แค่คนไม่แออัดเท่าร้านอาหาร แต่ปิดร้านอาหารอย่างเดียว ก็เป็นงงค่ะ)
ช่วงที่ยอดเยอะๆ บอกเลยว่าไม่อยากไปทำงานเหมือนกัน เพราะที่บ้านเรามีเด็ก และคนในบ้านที่เป็นกลุ่มความเสี่ยงสูง (ปู่มารีได้ Snv 2 เข็ม ย่าได้ Az 1 เข็ม ป้าต้อง Snv 2 เข็ม) ซึ่งตอนนี้คนได้ Sinovac ครบ 2 เข็ม ต้องใส่ท่อช่วยหายใจเยอะแยะ บางเคสก็ตาย สิ่งที่รัฐบาลพูดว่า กันหนัก กันตาย 100% มันคือคำลวง ใช้ไม่ได้กับสายพันธุ์เดลต้า
แต่อีกสิ่งที่กลัวที่สุด คือ การที่ลูกติด แล้วเค้าพรากแม่พรากลูกค่ะ เคสอาการหนัก ถึงตายในเด็กคือน้อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่การพรากลูกไม่จากแม่เค้า คือสิ่งที่รับไม่ได้จริงๆ อันนี้เป็นส่วนหลักเลยที่ทำให้ตัดสินใจมา เพราะสมมติโชคร้ายติดโควิดที่นี่ อาการไม่หนักเรารักษาตัวกันที่บ้านได้ แม่กะลูกก็ได้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าซวยติดที่เมืองไทย ฮือ ไม่อยากจะคิด โดนเอาลูกไปนานขนาดนั้น ลูกจะอยู่ได้ยังไง นี่แค่แม่ไปเข้าห้องน้ำก็ร้องจะขาดใจแล้ว
อีกอย่างเดินทางมานี่ ทำประกันการเดินทางมาแล้วค่า ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่เป็นภาระใครแน่นอน
ไม่ต้องไล่ว่าชังชาติ ออกไปเลยไม่ต้องกลับนะคะ บอกเลยว่า กุต้องกลับค่าาาา ไม่กลับไม่ได้ ถึงแม้ว่าใจจะไม่อยากกลับก็เหอะ ขากลับ ASQ ก็จ่ายเองค่าาา ไม่ได้ไปเปลืองภาษีใครๆ แน่นอน แต่อาจจะขอกลับตอนสถานการณ์ที่ไม่ล่มจมขนาดนี้ค่ะ แบ่งเบาภาระทั่นนายก และหนู ค่ะ รพ.เตียงมันล้น มันเต็มไม่มีที่รักษา บุคลากรด่านหน้าก็ติดโควิด กักตัว จนจะไม่มีคนทำงานอยู่แล้วค่ะ
แล้วไม่ต้องด่าว่าทำไมไม่มาช่วยกันนะคะ ลาออกมาเพราะระบบราชการมันเ...้ยค่ะ ใช้งานเยี่ยงทาส เงินตกเบิกก็นาน ดูแลคนทำงานหนักแย่กว่าวัวกะควาย (ขนาดวัวควายฉีดยา เค้าก็ยังหายาดีๆมาฉีด) กราบใจไม่ว่าจะหมอ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่”ทำงาน”ในระบบทุกคนที่ยังอยู่มากๆ คุณคือคนที่เสียสละอดทนที่สุด
แต่รัฐบาลนี้หมอหน้างาน อยากฉีดไฟเซ่อมึงไม่ให้ ต้องให้คนสาปก่อน แถมด่าว่าอย่าเห็นแก่ตัว เออก็เป็นงงค่ะ เค้าทรีทเหมือนคนทำงานเป็นทาส เป็นฝุ่นใต้ตีนอะค่ะ
อยากให้ทั่นๆ รวมถึงศาสตราจารย์แพทย์ต่างๆ ลองลงไปทำงานแบบหมอจบใหม่ หรือคนด่านหน้าดูมั่งนะคะ หอคอยทั่นคงจะสูงไป หรือจรรยาบรรณมันซื้อได้ด้วยผลประโยชน์และการเลีย อยากถามบรรดาอาจารย์ว่าตอนสอนจรรยาบรรณแพทย์ยังกล้าสอนอยู่ไหมคะ ขยะแขยงค่ะ
ส่วนคนที่อยู่เมืองไทย ไม่ต้องเป็นห่วงบ้านเรานะคะ เพราะเราเป็นห่วงคุณมากกว่า
ตราบใดที่ยังอยู่ในรัฐบาลที่บริหารแบบนี้ คนไม่มีเงิน ชาวบ้าน ไม่มีเส้นสายจะตายก็ช่างมัน ช่วยตัวเองกันไปนะจ๊ะ ส่วน สลิ่ม elite ทั่นๆ รัฐบาล อยู่ได้สบายๆค่ะ ใครจะอยู่ไม่ได้ก็เรื่องของมึง

















