ปมสังหารดีเจเตเต้ ยิงหัว 2 นัดดับ แฟนสาวเปิดใจ ปมมือที่สามโผล่
สุดสะเทือนใจ! เปิดปมคดีอุ้มฆ่า "ดีเจเตเต้" ถูกยิงหัว 2 นัด แฟนสาวเล่า ปมรักสามเส้า พ่อลั่นคนร้ายเหี้ยมเกินมนุษย์
จากกรณีที่ประชาชนในจังหวัดกาญจนบุรีสะเทือนใจกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของ "ดีเจเตเต้" หรือ นายวราพงษ์ ขุนศรี จตุรงค์ วัย 33 ปี ซึ่งเป็นดีเจที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ โดยเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มบุคคลปริศนา ขับรถตามประกบดีเจเตเต้ บริเวณภายในหมู่บ้านพฤกษากาญจน์ 5 ซอย 7 ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนจะอุ้มตัวเขาขึ้นรถไปอย่างไร้ร่องรอย
3 วันแห่งความเงียบ - คำตอบที่เจ็บปวดในป่าละเมาะ
ฝ
หลังจากหายตัวไปเป็นเวลากว่าสามวัน ไม่มีใครสามารถติดต่อหรือพบเบาะแสของดีเจเตเต้ได้เลย กระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 ตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เดินทางไปยังพื้นที่ป่าละเมาะในตำบลลาดหญ้า หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านคนหนึ่งที่อ้างว่า เห็นภาพขาของศพลอยวนเวียนอยู่ในหัวจนทนไม่ไหว ต้องย้อนกลับไปยังจุดที่ตนเจอเข้าโดยบังเอิญอีกครั้ง จนแน่ใจว่าเป็นร่างของดีเจเตเต้จริงๆ
จุดที่พบศพนั้นอยู่ลึกในป่า ต้องใช้รถโฟร์วิลขับลุยเส้นทางลูกรังและโคลนเป็นเวลานานกว่า 20 นาที ก่อนจะเดินเท้าอีกประมาณ 5 นาที สภาพศพของดีเจเตเต้ในตอนพบ ถูกมัดมือทั้งสองข้างไพล่หลังด้วยเชือกเปลสีเขียว และนอนตะแคงอยู่กับพื้นดินกลางป่า สิ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุดคือ การพบรอยกระสุนปืนที่บริเวณกระหม่อมถึง 2 นัด เป็นลักษณะของการจ่อยิงในระยะใกล้อย่างเหี้ยมโหด
พ่อพูดทั้งน้ำตา “คนร้ายมันไม่ใช่คน”
นายวิเชียร ขุนศรีจตุรงค์ บิดาของดีเจเตเต้ กล่าวทั้งน้ำตาว่า หลังจากที่ลูกชายหายตัวไป ไม่มีใครในครอบครัวหลับสบายเลยสักคืน ทุกคนภาวนาให้เขายังมีชีวิตอยู่ แม้ในใจจะรู้สึกไม่ดีแต่ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อพบศพลูกแล้ว แม้จะเจ็บปวดสุดหัวใจ แต่ก็เบาใจลงที่อย่างน้อยก็ได้พบร่าง ไม่ต้องคาใจต่อไปอีก
เขายังฝากข้อความถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ขอให้ช่วยติดตามจับกุมคนร้ายที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมแบบนี้ให้ได้โดยเร็ว เพราะลักษณะของการก่อเหตุแบบนี้ แสดงถึงความโหดร้ายเกินมนุษย์ จ่อยิงถึง 2 นัดที่ศีรษะ ทั้งที่ลูกของเขาไม่ได้มีศัตรูอะไรมากมาย ตนเชื่อว่ามีเบื้องหลังบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาส่วนตัวหรือเรื่องชู้สาว
แฟนสาวเปิดใจ "เคยเตือนแล้วเรื่องผู้หญิงอีกคน"
ด้าน น.ส.เอ แฟนสาวของผู้ตาย ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ก่อนเกิดเหตุเธอเคยมีปากเสียงกับดีเจเตเต้เรื่องผู้หญิงอีกคนที่ชื่อว่า "น้ำ" ซึ่งเคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับแฟนเธอในลักษณะที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ แม้ดีเจเตเต้จะยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีอะไรแล้ว และตัดขาดความสัมพันธ์ไปนานแล้ว แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก เพราะผู้หญิงคนนี้เคยตามมาวุ่นวายหลายครั้ง
เธอไม่คิดเลยว่าปัญหาเล็กๆ แบบนี้ จะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดพรากชีวิตคนไปได้ หากเป็นเรื่องชู้สาวจริง เธอก็อยากให้ความรักจบลงด้วยเหตุผล ไม่ใช่ความรุนแรงถึงขั้นฆาตกรรมแบบนี้
เปิดคำให้การชาวบ้าน – ภาพศพหลอนจนต้องย้อนกลับมาดู
ผู้พบศพรายแรกคือชาวบ้านที่เข้าไปเก็บของป่าและเก็บเห็ดในพื้นที่ เขาเล่าว่าในวันนั้นมีฝนตกหนัก ฟ้ามืดครึ้มทำให้หลงป่าจนเดินไปพบกับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขาแทบช็อก นั่นคือขาของมนุษย์ที่โผล่ออกมาจากชายป่า ด้วยความตกใจและหวาดกลัว เขารีบวิ่งกลับบ้านโดยไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ
แต่หลังจากคืนนั้น ภาพขาของศพกลับวนเวียนในหัวจนทนไม่ไหว เขาจึงเล่าให้ญาติฟัง และพอได้เห็นข่าวเกี่ยวกับดีเจเตเต้ในโทรทัศน์ ก็รู้สึกเอะใจว่าอาจจะเกี่ยวข้องกัน จึงตัดสินใจย้อนกลับไปยังจุดเดิม และพบว่าสิ่งที่เขาเห็น คือร่างของดีเจเตเต้จริงๆ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
ประเด็นน่าสงสัย – แรงจูงใจจากรักสามเส้า หรือมีขบวนการเบื้องหลัง
จากข้อมูลทั้งหมดในเบื้องต้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแรงจูงใจในการสังหารดีเจเตเต้ อาจไม่ได้มีแค่ปัญหาชู้สาว แต่ยังอาจเกี่ยวข้องกับขบวนการบางอย่าง หรือบุคคลที่ไม่พอใจดีเจเตเต้ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ และเส้นทางที่กลุ่มคนร้ายใช้ในการพาตัวเหยื่อออกจากหมู่บ้าน รวมถึงตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ตาย เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเบอร์โทรล่าสุดที่ติดต่อ และข้อความสนทนาที่อาจบ่งชี้ถึงภัยคุกคามก่อนเสียชีวิต
ประชาชนฝากความหวังไว้ที่ตำรวจ
ประชาชนในพื้นที่ต่างหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเป็นการอุ้มฆ่าอย่างอุกอาจในหมู่บ้านที่ควรจะปลอดภัย และการนำศพไปทิ้งในป่าลึกก็สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจปิดบังการกระทำ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงถูกคาดหวังอย่างมากจากประชาชนในการตามจับคนร้ายมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อคืนความมั่นใจและความยุติธรรมให้กับครอบครัวของดีเจเตเต้
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเศร้าเสียใจของครอบครัวผู้เสียชีวิต แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงปัญหาในสังคมยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการความขัดแย้ง การใช้อารมณ์เหนือเหตุผล หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากความหึงหวงแบบผิดๆ ซึ่งสุดท้ายก็สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต ความรัก และอนาคตที่ไม่มีวันหวนคืน



















