กลางดึกคืนหนึ่ง...
ผมได้รับโทรศัพท์จากรุ่นน้องที่ไม่ได้คุยกันมาสักพัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
สะลึมสะลือจากการนอน ผมก็ได้ยินคำว่า “พี่ ผมโดนจับ ช่วยหน่อยได้ไหม อยากขอให้พี่ช่วยประกันตัว ตำรวจแจ้งว่าวงเงิน 30,000”
คำพูดนั้น ทำให้ผมตื่นเต็มตา ไม่ใช่เพราะกลัว แต่กำลังคิดอย่างมีสติ ว่า…
เออ...เราควรทำยังไงต่อดี?
สิ่งแรกที่ผมถามคือ “แล้วครอบครัวล่ะ?”
เขาตอบแบบอ้อมแอ้มว่า “ยังไม่กล้าบอกแม่…เลยโทรหาพี่ก่อน”
แม้ใจหนึ่งจะอยากช่วย แต่สุดท้าย ผมปฏิเสธ
ไม่ใช่เพราะไม่อยากช่วย แต่เพราะ การประกันตัวไม่ใช่แค่เรื่องเงิน 30,000 มันคือความรับผิดชอบที่มากกว่านั้น
ประกันตัว = “ปล่อยชั่วคราว” ไม่ใช่การซื้ออิสระแบบถาวร
ในทางกฎหมาย การประกันตัวคือกระบวนการขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว ก่อนศาลตัดสิน ซึ่งอาจทำได้ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวน อัยการ หรือศาล แล้วแต่สถานะของคดี
เงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ผู้ขอประกันต้องไม่หลบหนี ไม่ยุ่งกับพยานหลักฐาน และไม่น่าก่ออันตรายหรือหลบหนี
แล้วเราจะใช้ “อะไร” เป็นหลักประกันได้บ้าง?
ในการประกันตัว ไม่จำเป็นต้องใช้ “เงินสด” เสมอไป
สามารถใช้หลักทรัพย์อย่างอื่นได้ เช่น
-
โฉนดที่ดิน
-
สลากออมสิน
-
สมุดบัญชีเงินฝากประจำ
-
หนังสือค้ำประกันจากธนาคาร
-
หรือแม้แต่ “บุคคล” ค้ำประกันก็ยังได้ (ในบางกรณี)
แต่อย่างที่ผมเจอคือ รุ่นน้องขอ “เงินสด” เพราะรวดเร็วและไม่มีทรัพย์สินอื่นเลย
ถ้าใช้เงินไปแล้ว… จะ “ได้คืน” ไหม?
คำตอบคือ “มีโอกาสได้คืน”
แต่มีเงื่อนไขคือ
-
ผู้ถูกประกัน ต้องมารายงานตัวตามนัดศาล
-
ไม่หลบหนี ไม่ละเมิดเงื่อนไข
-
และเมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว (ไม่ว่าผลจะถูกหรือผิด)
เงินหรือทรัพย์สินที่ใช้ประกันจะคืนให้กับผู้วางประกัน
แต่ถ้ามีการผิดเงื่อนไข เช่น ผู้ถูกประกันหลบหนี
เงินนั้นจะถูก “ริบเข้ารัฐ”
แล้วถ้าไม่มีเงิน ไม่มีที่ ไม่มีหลักทรัพย์เลยล่ะ?
คำถามนี้แหลมคม เพราะในชีวิตจริง คนจนไม่เท่ากับคนผิด
และประเทศไทยเรามีกองทุนหนึ่งชื่อว่า
“กองทุนยุติธรรม” ซึ่งจัดตั้งขึ้นตาม
พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558
โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเงินประกันตัว กองทุนสามารถ
ช่วยค่าใช้จ่ายในการขอปล่อยตัวชั่วคราว
แต่จะช่วยทั้งหมดหรือบางส่วน ขึ้นอยู่กับ “คณะอนุกรรมการพิจารณา”
ใครสามารถยื่นคำขอได้?
-
ตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยเอง
-
สามี ภรรยา ผู้ปกครอง ญาติพี่น้อง หรือผู้รับมอบอำนาจ
-
ยื่นได้ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัด หรือสำนักงานกองทุนยุติธรรมทั่วประเทศ
-
หรือแม้แต่ส่งทางไปรษณีย์ หรืออีเมลก็ได้
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2559
ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
“การช่วยเหลือสามารถทำได้ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวน อัยการ หรือแม้แต่ในชั้นศาล”
เกณฑ์การพิจารณาให้ความช่วยเหลือ
-
ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีพฤติกรรมหลบหนี
-
ไม่ใช่คดีร้ายแรงถึงขั้นกระทบต่อความสงบเรียบร้อย
-
มีฐานะยากจน มีพฤติกรรมดี
-
ไม่น่าเชื่อว่าจะหลบหนี หรือยุ่งกับพยานหลักฐาน
-
หรือได้รับความเห็นชอบจากพนักงานสอบสวนหรือศาล
“ความช่วยเหลือ” ไม่ได้แปลว่า “รอดพ้นคดี”
สิ่งสำคัญที่อยากให้เข้าใจคือ
การช่วยเหลือด้านการประกันตัว เป็นเพียง การได้โอกาส “ต่อสู้คดี” อย่างเป็นธรรม
ไม่ได้แปลว่าคดีนั้นจะไม่เกิดขึ้น หรือถูกยกฟ้อง
เพียงแต่ช่วยไม่ให้ต้อง “ติดคุก” โดยยังไม่มีคำตัดสิน
สรุปจากเรื่องของผม
เอาจริง ผ่านมาหลายปี ผมก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า รุ่นน้องของผมผิดจริงหรือไม่ (ครั้งนั้นก็เป็นโทรครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุยกัน)
แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในคืนนั้นคือ
การช่วยเหลือใครสักคนในเรื่องประกันตัว ไม่ใช่แค่ “หยิบเงิน” แล้วจบ
มันคือภาระ ความรับผิด และความเชื่อมั่นในตัวคนคนนั้น
และถ้าเราจะช่วยใคร... ต้องแน่ใจก่อนว่า เขาพร้อมจะรับผิดชอบตัวเองด้วย
หากคุณหรือคนใกล้ตัวตกอยู่ในสถานการณ์ต้องประกันตัว
จงรู้ว่า... “คุณมีสิทธิ”
และประเทศไทยยังมี “ช่องทางช่วยเหลือ”
ไม่ว่าจะผ่านกองทุนยุติธรรม หรือระบบกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ “สู้” ได้เสมอ
แต่อย่าลืมว่า...
“การใช้สิทธิ ต้องมาพร้อมกับการมีวินัย”
ไม่อย่างนั้น เงิน 30,000 หรือแม้แต่เสรีภาพของคุณ... อาจจะหายไปตลอดกาล
หากบทความนี้ให้ความรู้หรือเปิดมุมมองใหม่ ฝากแชร์ต่อ เพื่อให้คนที่ไม่รู้ ได้มีทางเลือก และได้เข้าใจระบบยุติธรรมบ้านเรามากขึ้นนะครับ