ด่วน!ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ “ลุงพล” จำคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษ “ลุงพล” จำคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่ – เปลี่ยนข้อหาจากประมาทเป็น “เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล” พร้อมข้อหาพรากเด็กและอำพรางศพ
มุกดาหาร – คดีสะเทือนขวัญ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ จากบ้านกกกอก อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาแก้โทษ นายไชย์พล วิภา หรือที่สังคมรู้จักกันในชื่อ “ลุงพล” ให้รับโทษจำคุก รวม 26 ปี โดยเปลี่ยนจากเดิมที่ศาลชั้นต้นตัดสินให้มีความผิดเพียงฐานประมาท เป็นการกระทำความผิดในข้อหา เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล พร้อมข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีโดยไม่มีเหตุอันสมควร และอำพรางศพ ส่วน นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” ภรรยาของลุงพล ยังคงมีคำพิพากษายกฟ้องตามเดิม
ภูมิหลังคดีน้องชมพู่ – จากการหายตัวสู่การพบศพ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 หลังครอบครัวของน้องชมพู่แจ้งว่า เด็กหญิงวัย 3 ขวบได้หายออกจากบ้านพักภายในหมู่บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร การค้นหาครั้งใหญ่ถูกระดมทั้งชาวบ้าน อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน เพื่อออกติดตาม
หลังจากค้นหานานหลายวัน ในที่สุดก็พบร่างของน้องชมพู่บนภูเขาใกล้หมู่บ้าน สภาพศพเปลือยกายบางส่วนและมีร่องรอยการถูกทำร้าย ซึ่งทำให้คดีนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศทันที เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนชนบทเล็กๆ และผู้ต้องสงสัยอยู่ในวงแคบ
จากผู้ต้องสงสัยสู่การตกเป็นจำเลย
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนและเก็บพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง “ลุงพล” ในตอนแรกเคยมีบทบาทช่วยค้นหาและให้สัมภาษณ์สื่ออย่างเปิดเผย แต่ต่อมาได้ตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย
วันที่ 1 มิถุนายน 2564 พนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับนายไชย์พล วิภา ในหลายข้อหา อาทิ
ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปจากบิดามารดาโดยไม่มีเหตุอันสมควร (มาตรา 317 วรรคแรก)
ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (มาตรา 291)
และข้อหาอำพรางซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย
ต่อมามีการดำเนินคดีในศาลจังหวัดมุกดาหาร โดยมี ป้าแต๋น ภรรยาของลุงพล เป็นจำเลยร่วมในบางข้อหา แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องเธอ
คำพิพากษาศาลชั้นต้น – จำคุก 20 ปี
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 ศาลจังหวัดมุกดาหารมีคำพิพากษาในคดีนี้ว่า ลุงพลมีความผิดใน 2 ข้อหา ได้แก่
1. กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย – จำคุก 10 ปี
2. พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีโดยไม่มีเหตุอันสมควร – จำคุก 10 ปี
รวมโทษจำคุกทั้งหมด 20 ปี พร้อมให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต ขณะที่ป้าแต๋นถูกยกฟ้องทุกข้อหา
อย่างไรก็ตาม อัยการเห็นว่าพยานหลักฐานและพฤติการณ์ของจำเลยมีน้ำหนักเพียงพอที่จะชี้ว่าการกระทำเป็นการ “เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล” จึงยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์ภาค 4
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แก้โทษ – จากประมาทเป็น “เจตนาฆ่า”
ล่าสุด ในการนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ศาลจังหวัดมุกดาหารได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ พฤติการณ์ของจำเลยสอดคล้องกับการกระทำที่มี เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล ไม่ใช่เพียงความประมาท
การพาเด็กออกจากความดูแลของบิดามารดาโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการกระทำที่เข้าข่าย พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี
หลังจากการเสียชีวิต จำเลยยังได้กระทำการอำพรางศพเพื่อปกปิดสาเหตุและสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐาน ซ่อนเร้นและอำพรางศพ
โทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนด
1. เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล – จำคุก 20 ปี
2. พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีโดยไม่มีเหตุอันสมควร – จำคุก 5 ปี
3. อำพรางศพ – จำคุก 1 ปี
รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 26 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนป้าแต๋นยังคงได้รับการยกฟ้องทุกข้อหาเช่นเดิม
ความแตกต่างระหว่าง “ประมาท” กับ “เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล”
คำพิพากษาครั้งนี้ทำให้หลายคนสนใจว่าเหตุใดศาลอุทธรณ์จึงแก้ไขข้อหาจาก “ประมาท” เป็น “เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล” ซึ่งทั้งสองข้อหามีความหมายทางกฎหมายต่างกันอย่างชัดเจน
กระทำโดยประมาท – ผู้กระทำไม่ได้มีเจตนาจะให้เกิดผลร้าย แต่การขาดความระมัดระวังจนเกินสมควรทำให้เกิดเหตุขึ้น เช่น ขับรถโดยไม่ระวังจนชนคนตาย
เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล – ผู้กระทำอาจไม่ได้ตั้งใจฆ่าโดยตรง แต่รู้ว่าการกระทำของตนมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และยอมรับผลนั้นได้ เช่น ทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงจนรู้ว่ามีโอกาสทำให้เสียชีวิต
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพฤติการณ์ของลุงพลสอดคล้องกับข้อหาหลัง เนื่องจากมีการนำตัวเด็กออกไปในสภาพและสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง โดยตระหนักถึงผลร้ายที่อาจเกิดขึ้น
ปฏิกิริยาของครอบครัวและสังคม
หลังการอ่านคำพิพากษา ครอบครัวของน้องชมพู่แสดงความพอใจกับคำตัดสิน เนื่องจากมองว่าเป็นการให้ความยุติธรรมแก่ผู้เสียชีวิต ขณะที่ทีมทนายของลุงพลกำลังพิจารณายื่นฎีกาต่อศาลฎีกา ซึ่งจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการพิจารณาคดี
ในโลกออนไลน์ กระแสความคิดเห็นแบ่งออกเป็นหลายด้าน บางส่วนเห็นว่าศาลอุทธรณ์วิเคราะห์พยานหลักฐานอย่างรอบคอบและตัดสินสอดคล้องกับข้อเท็จจริง ขณะที่บางส่วนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่ใช้ในการตัดสิน
ผลกระทบต่อภาพรวมคดีเด็กหายและคดีฆาตกรรม
คดีน้องชมพู่ถือเป็นหนึ่งในคดีเด็กหายและเสียชีวิตที่มีการติดตามอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในรอบหลายปีในประเทศไทย มีการใช้ทรัพยากรทั้งบุคลากรและงบประมาณจำนวนมากในการสืบสวนสอบสวน
การที่ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนข้อหาจากประมาทเป็นเจตนาฆ่า ถือเป็นสัญญาณสำคัญว่า ศาลพร้อมใช้บทลงโทษสูงสุดตามพฤติการณ์ เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้ซ้ำอีก
สรุป
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษ “ลุงพล” จากจำคุก 20 ปี เป็นจำคุก 26 ปี
เปลี่ยนข้อหาหลักจาก “ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” เป็น “เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล”
มีความผิดฐาน พรากเด็ก และ อำพรางศพ เพิ่มเติม
ป้าแต๋น ภรรยา ยังคงถูกยกฟ้องทุกข้อหา
ครอบครัวน้องชมพู่พอใจกับคำตัดสิน แต่ทีมทนายลุงพลอาจยื่นฎีกา





















